แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ China. แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ China. แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

World : “หลี่โคโนมิกส์” ยาขมเศรษฐกิจของนายกฯจีน โดย : รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น

World : “หลี่โคโนมิกส์” ยาขมเศรษฐกิจของนายกฯจีน 
โดย : รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น


“หลี่โคโนมิกส์” (Likonomics) เป็นคำเรียกนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนชุดปัจจุบันนำโดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “หลี่เค่อเฉียง” (Li Keqiang) 
 ซึ่งเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งกุมบังเหียนบริหารแดนมังกรเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของแนวนโยบายหรือทิศทางเศรษฐกิจจีนย่อมจะมีผลกระทบต่อไทย เพราะในขณะนี้ เศรษฐกิจจีนมีความสำคัญยิ่งยวดสำหรับไทย ทั้งด้านการเป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 1 ของไทยด้วยสัดส่วนสูงราวร้อยละ 12 ของการส่งออกไทยทั้งหมด การเป็นนักลงทุนต่างชาติในไทยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทยด้วย ดังนั้น เราจะละเลยหรือจะไม่สนใจว่าพญามังกรจีนจะขยับตัวไปในทิศทางไหนอย่างไรคงจะไม่ได้แล้ว 
บทความในวันนี้ จึงจะมาดูกันว่า นโยบายเศรษฐกิจแบบ “หลี่โคโนมิกส์” มีลักษณะเด่นอะไร และมีความเหมือนหรือต่างกับนโยบายของรัฐบาลจีนชุดก่อนหน้าอย่างไร 
แนวทาง “หลี่โคโนมิกส์” ภายใต้การนำของนายกฯ หลี่เค่อเฉียง ซึ่งมีความรู้ความสามารถและพื้นฐานการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์โดยตรง แถมมีดีกรีสูงถึงระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีนด้วย แนวนโยบายเศรษฐกิจของนายกฯ หลี่จะเป็นอย่างไร เรามาดูกันเลยค่ะ
รัฐบาลจีนชุดนี้มีแนวนโยบายเศรษฐกิจที่แตกต่างจากรัฐบาลจีนชุดก่อนหน้าอย่างชัดเจนในหลายด้าน นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างพยายามชี้ลักษณะเด่นของแนวทาง “หลี่โคโนมิกส์” ไว้หลายแง่มุม ดิฉันจะขอสรุปแบ่งเป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้ (1) การไม่ทุ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเสี่ยสั่งลุย (2) การยอมเจ็บตัวกับภาวะสภาพคล่องตึงตัวในตลาดเงิน และ (3) การเน้นปฏิรูปปรับเปลี่ยนโครงสร้างและโมเดลเศรษฐกิจจีนในรูปแบบใหม่ที่ลดการพึ่งพาภาคต่างประเทศ
เริ่มจากลักษณะเด่นประการแรก รัฐบาลจีนชุดนี้ไม่ได้มุ่งใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวและไม่ละเลงงบประมาณการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป แต่จะหันมาเน้นการเติบโตในเชิงคุณภาพ ไม่ใช่เป็นเพียงการเติบโตเชิงปริมาณมีแต่ตัวเลขที่สวยหรู โดยตั้งเป้าการเติบโตของเศรษฐกิจจีดีพีจีนเฉลี่ยต่อปีไว้ที่ร้อยละ 7.5 
ที่สำคัญ เพื่อลดปัญหาช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนในเขตเมืองและชนบทที่ถ่างกว้างมากขึ้น รัฐบาลของนายกฯ หลี่ จึงหันมาใช้มาตรการกระจายความเจริญและกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะนโยบายสร้างความเป็นเมืองให้กับชนบท (Urbanization) และมุ่งกระจายทรัพยากรทางการเงินไปสู่ชนบทจีนในระดับรากหญ้า รวมทั้งการตั้งเป้าหมายที่จะให้ชาวจีนทุกคนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี (GDP per capita) เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปี 2020 
นอกจากนี้ แนวทาง “หลี่โคโนมิกส์” จะไม่ส่งเสริมการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลท้องถิ่นจีน แต่กลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับรัฐบาลชุดก่อนหน้า โดยการหันมาเข้มงวดและส่งสัญญาณเชิงเตือนให้รัฐบาลท้องถิ่นมือเติบของจีนต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและหยุดการทุ่มงบโครงการก่อสร้างต่างๆ จนเกิดภาวะอุปทานล้นเกิน 
ที่ผ่านมา นโยบายของรัฐบาลจีนชุดเก่าได้นำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้ในช่วงวิกฤตการเงินแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 สูงถึง 4 ล้านล้านหยวน จนทำให้มีสภาพคล่องในจีนล้นเกินส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นจีนสนุกสนานเพลิดเพลินกับการกู้ยืมมาแข่งขันกันลงทุนก่อสร้างสารพัดโครงการ ทั้งการสร้างถนน สะพาน สนามบิน ทางรถไฟ และตึกสูงระฟ้า เป็นต้น จนสร้างภาระหนี้ล้นพ้นตัวให้กับรัฐบาลท้องถิ่นจีนเหล่านั้น
จากรายงานจนถึงปี 2010 หนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นจีนมียอดสูงถึง 10.7 ล้านล้านหยวน โดยมีหนี้ค้างชำระเป็นสัดส่วนสูง จากตัวเลขล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เฉพาะหนี้ของรัฐบาลมณฑลและท้องถิ่น 18 แห่งของจีนรวมกันมีมูลค่าสูงราว 3.85 ล้านล้านหยวน ซึ่งขยายมูลค่าหนี้เพิ่มถึงร้อยละ 13 จากในสองปีก่อนหน้า และจากยอดหนี้ค้างชำระทั้งหมดนั้นเกือบครึ่งหนึ่งเป็นหนี้ใหม่ที่ก่อขึ้นภายหลังจากปี 2011 
นายกฯ หลี่จึงมีความกังวลต่อความสามารถในการชำระเงินคืนของรัฐบาลท้องถิ่นเหล่านั้น และปัญหาการขาดความโปร่งใสในขั้นตอนของการกู้ยืมเงิน ล่าสุด ได้มีคำสั่งให้สำนักงานตรวจเงินแห่งชาติของจีนทำการตรวจสอบบัญชีหนี้ของรัฐบาลทุกระดับ เพื่อรับมือกับปัญหาความเสี่ยงภาคการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป
ลักษณะเด่นของแนวทาง “หลี่โคโนมิกส์” ประการต่อมา คือ การจงใจยอมให้มีสภาพคล่องตึงตัวในตลาดเงิน โดยธนาคารกลางของจีนใจเย็นที่จะไม่เข้ามาแทรกแซงตลาด กลับปล่อยให้เกิดสภาพคล่องตึงตัว แม้จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งขึ้น แต่เป็นความตั้งใจเพื่อกดดันและบีบให้หลายฝ่ายของจีนหยุดพฤติกรรมเก็งกำไร และเพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นจีนลดการใช้จ่ายเกินตัว (แม้ว่าต่อมา ธนาคารกลางจีนได้ผ่อนคลายจุดยืนที่แข็งกร้าวลงบ้าง เนื่องจากไม่ต้องการปล่อยให้เกิดภาวะสภาพคล่องหดตัวนานเกินไปจนมีผลให้เศรษฐกิจจีนต้องชะลอตัวมากเกินไป) 
รัฐบาลจีนชุดนี้เลือกที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะไม่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนขยายตัวไปกว่านี้ รวมทั้งปัญหาตลาดสินเชื่อที่ร้อนแรงของจีน โดยเฉพาะปัญหาคาราคาซังในการปล่อยกู้นอกระบบของจีนหรือที่เรียกว่า “ธนาคารเงา” ในจีน มีรายงานว่า การปล่อยกู้นอกระบบในจีนอาจมีสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ของจีดีพีจีน และคิดเป็นร้อยละ 80 ของการปล่อยกู้ในภาคธนาคารพาณิชย์จีน นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนหลายแห่งที่มีปัญหาในการขอสินเชื่อก้อนใหม่จากธนาคารทั่วไปก็ได้หันไปหาช่องทางการปล่อยกู้นอกระบบด้วยเช่นกัน
นายกฯ หลี่ เคยประกาศชัดว่า “แนวทางเศรษฐกิจจีนต่อจากนี้จะผลักดันการปฏิรูปมากกว่าจะเน้นส่งเสริมการเติบโต และจะพยายามจัดการปัญหาหนี้สินจำนวนมากของรัฐบาลท้องถิ่นที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการเงินโลก พร้อมกับเข้าควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ” โดยยืนยันที่จะไม่ใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนที่กำลังเริ่มชะลอตัว ตราบเท่าที่ยังไม่มีปัญหากระทบถึงอัตราคนว่างงานในจีน 
การยอมให้มีสภาพคล่องตึงตัวในตลาดเงิน และยังคงใจเย็นต่อการชะลอของการขยายตัวของสินเชื่อ ไม่ยอมอัดฉีดสภาพคล่องใหม่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนชุดนี้ จึงแตกต่างจากนโยบายของรัฐบาลจีนชุดก่อนอย่างชัดเจน 
ประการสุดท้าย แนวทาง “หลี่โคโนมิกส์” เน้นปฏิรูปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจีนในรูปแบบใหม่โดยจะลดการพึ่งพาภาคการส่งออกซึ่งมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า และหันมาเน้นเศรษฐกิจภายในประเทศ พร้อมกับให้ความสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเพื่อยืนอยู่บนขาของตัวเอง จากตัวเลขล่าสุด นับว่า รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการลดสัดส่วนของการส่งออกต่อจีดีพีของจีนลงเหลือเพียงร้อยละ 26
นอกจากนี้ ยังหันมาเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ส่งเสริมคนจีนในระดับรากหญ้า และมีการปรับทิศทางและรูปแบบของการช่วยเหลือภาคการผลิต ตัวอย่างเช่น ล่าสุด รัฐบาลนายกฯ หลี่ได้ออกมาตรการใหม่เพื่อสนับสนุนกิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยการยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการขนาดย่อม และการลดค่าธรรมเนียมผู้ส่งออก รวมทั้งการจูงใจนักลงทุนเอกชนให้เข้าร่วมลงทุนในโครงการเครือข่ายรางรถไฟ ตลอดจนการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนในการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคด้วย 
จากการยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีการดำเนินงานของธุรกิจ SMEs ขนาดย่อม (กิจการที่มียอดขายต่อเดือน ต่ำกว่า 20,000 หยวน) คาดว่า จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs รายย่อยของจีนที่มีมากกว่า 6 ล้านราย และมีการจ้างงานในกิจการรายย่อยเหล่านี้มากถึง 10 ล้านคน โดยจะเริ่มใช้มาตรการงดเว้นภาษีเหล่านี้ในเดือนสิงหาคม ปีนี้ 
ส่วนด้านการลดค่าธรรมเนียมผู้ส่งออก รัฐบาลจีนจะลดค่าธรรมเนียมในการจัดการให้กับผู้ส่งออก และยกเลิกค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกลดขั้นตอนและกระบวนการอนุญาตให้ง่ายขึ้น อีกทั้งปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบทางศุลกากรให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า มาตรการล่าสุดของทางการจีนที่เน้นกลุ่ม SMEs นับเป็นการให้การช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มอย่างชัดเจนและยังเป็นการจำกัดขอบเขตขนาดของการช่วยเหลือ มิใช่การทุ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจจีนแบบเหมาเข่งดังเช่นมาตรการของรัฐบาลจีนชุดก่อน
โดยสรุป แนวทาง “หลี่โคโนมิกส์” เป็นเสมือนยาขมของจีนที่ต้องยอมลำบากในวันนี้ เพื่อผลดีในภายหน้า เป็นการยอมเจ็บตัวระยะสั้นเพื่อปรับสมดุลระยะยาว จึงเป็นความตั้งใจที่จะเติบโตช้าหน่อยแต่จะเติบโตอย่างยั่งยืนในรูปแบบโมเดลใหม่เน้นพึ่งการบริโภคของตนเองมากกว่ายืมจมูกต่างประเทศหายใจ รัฐบาลจีนชุดนี้จึงยังคงใจเย็นให้เวลากับการปฏิรูปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และใช้ความอดทนต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวยอมเติบโตช้าลง เพื่อใช้โอกาสนี้ปรับโมเดลเศรษฐกิจหันมาเน้นการบริโภคภายในประเทศอย่างยั่งยืนนั่นเองค่ะ

Resource from:

วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 6 ; มณทลกวางสีสั่งปิดกิจการที่เข้าข่ายอุตสาหกรรมล้าสมัย

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 6 ;   
มณทลกวางสีสั่งปิดกิจการที่เข้าข่ายอุตสาหกรรมล้าสมัย 
ปีที่ผ่านมา กว่างซีสั่งปิดกิจการที่เข้าข่ายอุตสาหกรรมล้าสมัย จำนวน 150 ราย ครอบคลุมอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้า 2.4 หมื่นกิโลวัตต์ อุตสาหกรรมเหล็กอัลลอยด์ 3.5 แสนตัน อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ 16.3 ล้านตัน อุตสาหกรรมผลิตกระดาษ 3.1 แสนตัน อุตสาหกรรมผลิตหนัง 8 หมื่นผื่นมาตรฐาน อุตสาหกรรมผลิตแป้งสตาร์ช 4 พันตัน และอุตสาหกรรมถ่านหิน 1.2 แสนตัน
โดยที่ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เป็นเป้าหมายหลัก มีจำนวนวิสาหกิจที่ถูกสั่งปิดกิจการสูงสุด จำนวน 100 ราย
เมื่อปีก่อน (ปี 55) ทางการกว่างซีได้ออกประกาศ ข้อคิดเห็นว่าด้วยการควบคุมอย่างเข้มงวดต่อการอนุมัติการลงทุนในโครงการที่มีการสิ้นเปลืองพลังงานสูงและก่อมลพิษสูง รวมทั้งมีการกำหนด บัญชีรายชื่อโครงการลงทุนที่มีการสิ้นเปลืองพลังงานสูงและก่อมลพิษสูงประเภทที่ต้องจำกัดและประเภทที่ต้องกำจัด เพื่อควบคุมอุตสาหกรรมล้าสมัยในกว่างซี
แนวทางการดำเนินการหลัก คือ (1) โครงการเก่า ทางการกว่างซีพร้อมสนับสนุนให้กิจการดังกล่าวปรับปรุงโครงสร้างการผลิตและเทคโนโลยีการผลิต ไม่อนุญาตให้ขยายพื้นที่ทำธุรกิจ หรือสั่งปิดกิจการนั้นๆ และ (2) โครงการใหม่ มีขั้นตอนการตรวจสอบอนุมัติที่เคร่งครัด มีการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น หรือไม่อนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 
        ภูมิหลังของมาตรการล้างบางอุตสาหกรรมล้าสมัยเป็นแนวทางที่รัฐบาลกลางได้กำหนดตามกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก) เพื่อต้องการกำจัดภาคอุตสาหกรรมที่ขาดประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความสิ้นเปลือง และสร้างมลพิษสูง
มาตรการดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนการควบคุมยอดการผลิตที่เกินความจำเป็นที่สืบเนื่องจากความกังวลว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจอาจก่อให้เกิดการลงทุนในบางภาคอุตสาหกรรมมากเกินไป
        ดังนั้นสำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจจะเข้ามาทำธุรกิจในกว่างซี (จีน) จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า กิจการของท่านเข้าข่ายธุรกิจที่มีการสิ้นเปลืองพลังงานสูงและก่อมลพิษสูงหรือไม่ 
ทั้งนี้ คาดหมายว่า มาตรการดังกล่าวจะบังคับใช้อยู่ต่อเนื่อง และอาจจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นในอนาคต

Resource from:

http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-economic-business/result.php?IBLOCK_ID=69&SECTION_ID=458&ELEMENT_ID=12731

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 5: Guangxi State Farm ตัวอย่าง"ก้าวออกไป" สู่อาเซียน ของวิสาหกิจจีน

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 5: 
Guangxi State Farm ตัวอย่าง "ก้าวออกไป" สู่อาเซียน 
ของวิสาหกิจจีน

Guangxi State Farm เป็นรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ของจีน (กว่างซี) ที่ออกไปลงทุนในอาเซียนมากที่สุดรายหนึ่งของประเทศ ทั้งในอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า ฟิลิปปินส์ และลาว
โครงการลงทุนของ Guangxi State Farm แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การออกไปพัฒนาและจัดตั้งเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าในต่างประเทศ (นิคมอุตสาหกรรม) การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรออกไปเผยแพร่พร้อมกับดำเนินการแปรรูปผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตร (เพื่อส่งกลับมายังกว่างซี)
อินโดนีเซีย : โครงการเขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า
โครงการดังกล่าวเป็น 1 ใน 19 เขตความร่วมมือฯ ในต่างประเทศของกว่างซีที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงพาณิชย์จีน และเป็นเขตความร่วมมือฯ แห่งแรกของจีนและกว่างซีในประเทศอินโดนีเซีย
โครงการระยะแรกเป็นการปรับปรุงหน้าดิน ถนน ทางระบายน้ำ และระบบแสงสว่างได้ดำเนินการเสร็จสิ้น โดย Guangxi State Farm ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 87.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีวิสาหกิจจากทั้งในและต่างประเทศ (รวมถึงจีน) จำนวน 19 ราย ได้ลงนามสัญญาเข้าพัฒนาและจัดตั้งกิจการ โดยบางส่วนเริ่มดำเนินการผลิตแล้ว

เวียดนาม : โรงงานแปรรูปมันสำปะหลัง
เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบของโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปมันสำปะหลัง ทาง Guangxi State Farm Mingyang Biochemical Group, Inc. (广西农垦明阳生化集团) จึงได้ออกไปลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตแป้งสตาร์ชมันสำปะหลังในประเทศเวียดนาม ซึ่งสอดรับกับคำเชิญชวนของรัฐบาลจังหวัด Binh Dinh ประเทศเวียดนาม
ทางบริษัทฯ ตั้งโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมกวีเญิน (Quy Nhon) โดยโรงงานแห่งนี้เป็นศูนย์รวมวัตถุดิบมันสำปะหลังจาก 3 ประเทศ คือ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งสามารถผลิตแป้งสตาร์ชได้ปีละ 3 แสนตัน และกำลังอยู่ระหว่างขยายงานการก่อสร้างสายการผลิตแป้งโมดิฟายด์สตาร์ช และระบบรองรับสายการผลิตอื่นๆ

พม่า : เพาะปลูก ป่าน(ศรนารายณ์) และมันสำปะหลัง
Guangxi State Farm Sisal Group (广西农垦剑麻集团公司) และบริษัทในประเทศพม่า ได้ร่วมลงนามสัญญาความร่วมมือโครงการปลูกพืชทดแทน โดยทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินความร่วมมือพัฒนาโครงการอบรมเทคโนโลยี เพาะปลูก และแปรรูปป่านศรนารายรณ์และมันสำปะหลังในพื้นที่เมือง Lashio ทางตอนเหนือของประเทศพม่า มีเนื้อที่ 2 หมื่นเฮกตาร์ (อย่างละครึ่ง) มูลค่าการลงทุน 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ระดับผู้เชี่ยวชาญไปอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชทั้ง 2 ประเภทในพม่าเป็นประจำทุกปี
ปัจจุบัน ป่านศรนารายรณ์บางส่วนให้ผลผลิตเป็นที่เรียบร้อย และคาดว่าจะเข้าสู่ช่วงที่ให้ผลผลิตได้เต็มที่ในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 58) และในอีก 6-7 ปีข้างหน้าจะได้ผลผลิตเส้นใยป่านมากกว่า 1.5 หมื่นตัน 
ตามรายงาน Guangxi State Farm จะใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เพื่อบุกเบิกพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรเชิงทรัพยากรกับอาเซียนอย่างต่อเนื่อง อาทิ (1) ธุรกิจน้ำตาลกับไทย เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย (2) ธุรกิจมันสำปะหลังกับเวียดนาม ไทย กัมพูชา และฟิลิปปินส์ (3) ธุรกิจเพาะปลูกทางการเกษตรกับพม่า และลาว (4) ธุรกิจเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์สัตว์น้ำกับเวียดนาม บรูไน และอินโดนีเซีย และ (5) ธุรกิจพืชผักผลไม้และดอกไม้กับเวียดนาม และไทย
       การดำเนินนโยบาย ก้าวออกไป ของวิสาหกิจจีน (กว่างซี) เป็นการดำเนินนโยบายที่ชาญฉลาด แม้ว่าประเทศต่างๆ จะได้ประโยชน์จากการที่วิสาหกิจจีนออกไปลงทุน (เม็ดเงินภาษี เทคโนโลยี การจ้างงาน) ทว่าประเทศเหล่านี้กำลังสูญเสียความได้เปรียบ/อำนาจต่อรอง เพราะจีนได้ลดการพึ่งพาจากประเทศคู่ค้า และเป็นผู้คุมเกมส์การค้าทั้งหมด


Resource from:
by นายกฤษณะ สุกันตพงศ์
แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์กว่างซี เดลี่ (广西日报) (31 พฤษภาคม 2556)



วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

China 's SEZ : Keys Success Factors in China ' s Economic Growth

China's SEZ : Keys Success Factors in China 's Economic Growth

China has many Special Economic Zones,which locate all of country.These SEZs are the key success factors to drive the Chinese Economic growth more than twenty years ago.China has many patthernes in this country,They call  Municipalities such as Beijing,Tianjin, Shanghai, Chongging or been in Provinces such as Heilongjiang, Jinlin, Liaoning, Hebei, Shandong, Snanxi, Henan, Jiangsu, Zhejiang, Fujian, Anhiu, Guangdong, Hainan, Hubei, Hunan, Jiangxi, Sichuan, Yunan, Shaanxi, Gansu, Qinghai, Taiwan or been in Autonomous area such as Ningxia Hui, Inner Mongolia, Xinjiang Uygur, Guangxi Zhuang, Tibet or been in Special Districts such as Hong Kong and Macao. And the special economic zones has be listed in the below tables

MunicipalitiesProvincesAutonomousSpecial Districts
Beijing, Tianjin, Shanghai, ChongqingHeilongjiang, Jinlin, Liaoning, Hebei, Shandong, Shanxi, Henan, Jiangsu, Zhejiang, Fujian, Anhui, Guangdong, Hainan, Hubei, Hunan, Jiangxi, Sichuan, Guizhou, Yunnan, Shaanxi, Gansu, Qinghai, TaiwanNingxia Hui, Inner Mongolia, Xinjiang Uygur, Guangxi Zhuang, TibetHong Kong
Macao

National Economic Development Zones
BeijingKunming, YunnanShihezi, Xinjiang
ChangChun, Kunshan, JiangsuSuzhou, Jiangsu
ChangSha, Hunan Lanzhou, GansuTaiyuan, Shanxi
ChengDu, SichuanLhasa, TibetTianjin
ChongqingLianyungang, JiangsuUrumqi, Xinjiang
Dalian, LiaoningNanchang, JiangxiWeihai, Shandong
DongshanNanjing, JiangsuWenzhou, Zhejiang
Fuqing RongqiaoNanning, GuangxiWuhan, Hubei
Fuzhou, FujianNantong, JiangsuWuhu, Anhui
GuangZhou, GuangdongNingbo Daxie, ZhejiangXi'an, Shaanxi
Guangzhou Nansha, GuangdongNingbo, ZhejiangXiamen Haicang, Fujian
Guiyang, GuizhouQingdao, ShandongXiaoshan, Zhejiang
Hainan YangpuQinghuangdao, HebeiXining, Qinghai
Hangzhou, ZhejiangShanghai MinghangYantai, Shandong
Harbin, HeilongjiangShanghai HongqiaoYinchuan, Ningxia
Hefei, AnhuiShanghai CaohejingYingkou,
Huhhot, Inner MongoliaShanghai JinqiaoZhanjiang
Huizhou DayawanShenyang, LiaoningZhengzhou

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 3 ;

การวางแผนพัฒนาเมืองอู๋โจวของกวางสี
ให้เป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของลุ่มแม่น้ำซีเจียง

เมืองอู๋โจวของกวางสีวางแผนพัฒนาเมืองสู่การเป็นศูนย์กลางเขตเศรษฐกิจบนแถบลุ่มแม่น้ำซีเจียง โดยเน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมบริการที่ตนเองมีความได้เปรียบเป็นสำคัญ 

เมืองอู๋โจว
 (Wuzhou City, 梧州市) เป็นเมืองแรกของเขตฯ กวางสีจ้วงที่ได้รับการอนุมัติผ่าน แผนงานสร้างพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำซีเจียงเมืองอู๋โจว จากคณะกรรมาธิการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปประจำเขตฯ กวางสีจ้วงเป็นที่เรียบร้อย 

แผนงานดังกล่าวเป็นผลงานของบริษัทที่ปรึกษาจากประเทศสิงคโปร์ที่ทางการเมืองอู๋โจวเป็นผู้ว่าจ้างให้ดำเนินการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับเงื่อนไขปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาเขตพื้นที่ศูนย์กลางแถบลุ่มแม่น้ำซีเจียง
 

ในแผนงานชิ้นนี้ได้มีการกำหนดตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์และจุดเน้นหลักการพัฒนา โดยแบ่งพื้นที่ของเมืองออกเป็น 5 โซน คือ
(1) โซนเมืองเก่า
(2) โซนเมืองใหม่
(3) โซนอุตสาหกรรมเลียบท่าเรือแม่น้ำ
(4) โซนวัฒนธรรมการค้า
(5) โซนเขตพิเศษความร่วมมือสมัยใหม่ 


นอกจากนี้ ภายในแผนงานยังเน้นย้ำถึงอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของเมืองฯ ซึ่งต้องให้การสนับสนุน แบ่งได้ดังนี้
 


หนึ่ง อุตสาหกรรมการผลิต 5 ประเภท ได้แก่
(1) อุตสาหกรรมวัสดุใหม่ในงานวิศวกรรมก่อสร้าง
(2) อุตสาหกรรมวัสดุตกแต่งบ้าน
(3) อุตสาหกรรมหมุนเวียนหรือ รีไซเคิล 
(4) อุตสาหกรรมการผลิตเชิงบูรณาการ
(5) อุตสาหกรรมพักผ่อนเพื่อสุขภาพ 

สอง อุตสาหกรรมบริการสมัยใหม่ 6 ประเภท ได้แก่
(1) โลจิสติกส์การค้า
(2) อสังหาริมทรัพย์
(3) การท่องเที่ยว
(4) การศึกษาและฝึกอบรม
(5) การสร้างสรรค์วัฒนธรรม
(6) การเงิน 

ทั้งนี้ คาดหมายว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 58) แถบลุ่มแม่น้ำซีเจียงจะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิของเมืองอู๋โจว โดยจะมีประชากรร้อยละ 40 อุตสาหกรรมและมูลค่ารวมการผลิตมากกว่าร้อยละ 60 กระจุกตัวอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสายนี้
 

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงหลายปีมานี้ รัฐบาลเขตฯ กว่างซีจ้วงให้ความสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาแม่น้ำซีเจียง ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของมณฑลเป็นอย่างมาก เพราะมองว่าแม่น้ำสายนี้เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในมณฑลและภูมิภาคตะวันตกของประเทศ (ทางออกสู่ทะเลของพื้นที่ภาคตะวันตก)
 

เมืองอู๋โจว ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกวางสี มีชื่อเสียงโด่งดังจากอุตสาหกรรมอัญมณีสังเคราะห์
 


เมืองอู๋โจวมีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งเป็นเมืองหน้าด่านติดมณฑลกวางตุ้ง จึงได้รับการขนานนามเป็น
 สวนหลังบ้าน ของมณฑลกวางตุ้ง (ได้รับการกำหนดเป็นพื้นที่รองรับการเคลื่อนย้ายอุตสาหกรรมจากพื้นที่ภาคตะวันออก) และได้จับมือจัดตั้ง เขตความร่วมมือพิเศษข้ามมณฑล กับเมืองจ้าวชิ่ง (Zhaoqing City, 肇庆市) ของมณฑลกวางตุ้ง 

นอกจากนี้ อู๋โจวเป็น 1 ใน 7 เมืองของกว่างซีที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำซีเจียง และเป็น 1 ใน 3 เมือง
 ฮับ ท่าเรือแม่น้ำซีเจียง (อีก 2 เมือง คือ นครหนานหนิง และเมืองกุ้ยก่าง)


Resource from:


ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 2 ;


ตลาดการค้าสินค้าเกษตรจีน-อาเซียน” เมืองชินโจว


เมืองชินโจวของกว่างซีเตรียมลงเสาเข็มงานก่อสร้าง “ตลาดการค้าสินค้าเกษตรจีน-อาเซียน” เพื่อใช้เวทีการค้าสินค้าเกษตรแบบครบวงจรในเดือนกรกฎาคมศกนี้

โครงการดังกล่าวมีบริษัท China Agri-Products Exchange (
中国农产品交易有限公司) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านการบริหารจัดการค้าส่งสินค้าเกษตรของประเทศจีนเป็นผู้ลงทุน ด้วยงบประมาณ 1,200 ล้านหยวน บนเนื้อที่ 1,000 หมู่จีน (ราว 416 ไร่เศษ) พื้นที่สิ่งปลูกสร้าง 4.5 แสน ตร.ม. 

ฟังก์ชั่นของตลาดแห่งนี้ ประกอบด้วย เขตการค้าผลไม้ เขตการค้าเบ็ดเตล็ด เขตแปรรูปสินค้าสัตว์น้ำ เขตการค้าพืชผักสด และเขตบริการระบบลูกโซ่ความเย็น (การขนส่งและโกดังรักษาอุณหภูมิความเย็น)

สำหรับแผนงานก่อสร้างแบ่งออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก จะสร้างตลาดการค้าพืชผักสด ตลาดการค้าน้ำมันพืช โกดังเย็นความจุสองหมื่นตัน ศูนย์ตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตร และระบบขนส่งโลจิสติกส์ 


ส่วนเฟสสอง จะสร้างตลาดการค้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ตลาดพืชผักสด เขตระบบลูกโซ่ความเย็น และเขตบริการธุรกิจและการส่งออก

คาดหมายว่า โครงการฯ จะรองรับผู้ประกอบการเข้าลงทุนได้ 4,000 ราย และสร้างงานสร้างอาชีพให้คนท้องถิ่นได้ 1.2 หมื่นตำแหน่ง
 ฟังก์ชั่นของตลาดดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับ “ศูนย์โลจิสติกส์สินค้าเกษตรระหว่างประเทศไฮพีเรียนกว่างซี” (Guangxi Hyperion International Agricultural Logistic Center, 广西海吉星农产品国际物流中心) ซึ่งเป็นตลาดการค้าส่งผักและผลไม้ครบวงจรแห่งใหม่ของนครหนานหนิง

อย่างไรก็ดี หากจะวิเคราะห์จากลักษณะทางกายภาพแล้ว แม้ว่าเมืองชินโจวจะมีท่าเรือซึ่งน่าจะมีความพร้อมสำหรับการนำเข้าส่งออกสินค้า (ปัจจุบัน เน้นสินค้าเทกอง) ทว่าพืชผักผลไม้ที่กว่างซีนำเข้าส่งออกกว่าร้อยละ 90 ล้วนผ่านด่านทางบกในอำเภอระดับเมืองผิงเสียงทั้งสิ้น 

อีกทั้งหากจะเปรียบเทียบกับตลาดไฮพีเรียนของนครหนานหนิงแล้ว ซึ่งมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งอยู่ในเมืองเอก และเริ่มเป็นที่รู้จักของพ่อค้าแม่ขายแล้ว บทบาทของตลาดการค้าสินค้าเกษตรของเมืองชินโจวน่าจะทำหน้าที่เป็น “ตัวกระจายสินค้าได้ดีกว่าบทบาทอื่น

เพราะหากจะอาศัยความได้เปรียบจากการมีท่าเรือแล้ว การค้าส่วนใหญ่ของเมืองชินโจวยังเน้นการค้าและขนส่งทางเรือภายในประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจเป็นตลาดที่ใช้เพื่อตอบสนองความต้องการในท้องถิ่นหรือเมืองรอบข้างเป็นสำคัญ

Resource from:
http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-economic-business/result.php?IBLOCK_ID=69&SECTION_ID=462&ELEMENT_ID=12639

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 1 ;

ศูนย์โลจิสติกส์สินค้าเกษตรระหว่างประเทศไฮพีเรียนกว่างซี
(Guangxi Hyperion International Agricultural Logistic Center,
 广西海吉星农产品国际物流中心)
ศูนย์โลจิสติกส์สินค้าเกษตรระหว่างประเทศ ไฮพีเรียนกว่างซี มีบริษัท Shenzhen Agricultural products (深圳市农产品股份有限公司) เป็นนายทุน ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านหยวน (ประมาณ 750 ล้านบาท) เมื่อเดือน ส.ค. 54 ที่ผ่านมา ไฮพีเรียน ได้ประกาศรีแบรนด์และเปิดตัวโลโก้ใหม่ของบริษัทฯ ภายใต้คอนเซปต์ “สีเขียว - ปลอดภัยและรักษ์สิ่งแวดล้อม” โดยได้เปลี่ยนชื่อตัวเองด้วย จาก  ไฮพีเรียน เป็น “ไฮกรีน” (HIGREEN)  โดยได้วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นตลาดขายส่งสินค้าเกษตรที่มีความทันสมัยแห่งใหม่ของนครหนานหนิง โดยมีเป้าหมายเพื่อมาแทนตลาดค้าขายส่งผักและผลไม้เดิมๆ ของนครหนานหนิง รวมถึงการเป็นศูนย์กระจายผลไม้อาเซียนไปยังพื้นที่อื่นๆ ของจีน


ไฮกรีน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 252.5 ไร่ (ประมาณ 606 หมู่จีน) มีพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง 5.2 แสน ตร.ม. และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,340 ล้านหยวน   แผนการก่อสร้างไฮกรีน แบ่งออกเป็น 3 เฟส โดย เฟสแรก ซึ่งประกอบด้วยเขตการค้าพืชผักและผลไม้ และเขตผลไม้นำเข้าอาเซียน บนเนื้อที่ประมาณ 62.5 ไร่ (150 หมู่จีน) เปิดดำเนินการแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2554    จากการสัมภาษณ์ คุณ Yu Shaoping รองผู้จัดการใหญ่ตลาดไฮกรีน  ตลอดจนพ่อค้าขายผลไม้ไทยชาวจีนที่ขายส่งอยู่ที่ตลาดไฮกรีนด้วย จึงขอถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ ในรูป Q&A มา ณ ที่นี้

Q: ตั้งแต่เปิดดำเนินการจนถึงปัจจุบัน ผลประกอบการของไฮกรีนเป็นอย่างไร?
A:   ในหนึ่งวัน ตลาดฯ มีปริมาณซื้อขายผักและผลไม้เฉลี่ย 2,500 ตัน โดยมีรถบรรทุกสินค้าขนาด 20 ตันผ่านเข้า-ออกเฉลี่ยวันละ 100-150 คัน ทั้งนี้ ในช่วงพีค อาทิ เทศกาลต่างๆ ปริมาณการซื้อขายเคยสูงถึงวันละ 5,660 ตัน และมีรถบรรทุกผ่านเข้าออกถึง 300 คันต่อวัน

Q: ผลไม้ส่วนใหญ่ในตลาดไฮกรีนมากจากไหน?
A:   มาจาก 2 แหล่ง คือ ผลไม้ภายในประเทศ และผลไม้นำเข้า
ผลไม้ในประเทศ มีทั้งผลไม้ท้องถิ่นกว่างซี (อาทิ ลิ้นจี่ ลำไย ส้มโอ กล้วย) และผลไม้จากต่างมณฑล เช่น องุ่น แคนตาลูป สาลี่หอมจากซินเจียง แอปเปิ้ลจากมณฑลซางตง ส่านซี ซานซี และกานซู่ ส้มจากมณฑลเจียงซี ลูกแพรจากมณฑลอันฮุย และพุทราเขียวจากมณฑลเหอเป่ย
      สำหรับผลไม้นำเข้า ส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเข้ามาทางด่านผู่จ้าย (จุดผ่อนปรนการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม) อำเภอระดับเมืองผิงเสียง เมืองฉงจั่ว เขตฯ กว่างซีจ้วง อาทิ แก้วมังกรเวียดนาม และมังคุดไทย (ซึ่งต้องลงทะเบียนผ่านด่านผู่จ้ายในฐานะมังคุดเวียดนาม) ซึ่งเคยเข้ามาที่ตลาดฯ สูงสุดถึง 20 คันรถในหนึ่งวัน คิดเป็นน้ำหนักราว 400 ตัน ขณะที่ลำไยและทุเรียนไทย ส่วนใหญ่รับต่อมาจากตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจว
   นอกจากนี้ ยังมีผลไม้เมืองหนาวจากยุโรป อเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการรับต่อจากตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจวเช่นกัน

Q:   ผลไม้อาเซียน มีวิธีการขนส่งมาที่ตลาดไฮกรีนอย่างไร?
A: โดยทั่วไป ผลไม้ต่างประเทศ รวมถึงผลไม้อาเซียน เข้ามาในตลาดของประเทศจีนได้ 3 ทาง คือ ทางเครื่องบิน ทางเรือ และทางรถยนต์ โดยหากเป็นการนำเข้ามาทางเครื่องบินและเรือ ส่วนใหญ่จะตรงไปที่ตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจว ก่อนจะถูกกระจายต่อไปสู่พื้นที่ต่างๆ ของจีน รวมถึงตลาดไฮกรีน ซึ่งจะมีพ่อค้าไปรับซื้อผลไม้ต่างประเทศจากตลาดเจียงหนานมาขายต่อ
      ในส่วนของผลไม้อาเซียนที่พ่อค้าในตลาดไฮกรีนนำเข้าทางรถยนต์ ส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้จากไทยและเวียดนาม
ในกรณีของผลไม้ไทย นั้น จะถูกลำเลียงเข้ามาทางด่านผู่จ้าย (ด่านการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม) โดยเป็นการนำเข้าในนามสินค้าเวียดนาม  กล่าวคือ ผลไม้จะถูกส่งออกจากภาคอีสานของไทยโดยรถบรรทุก ซึ่งวิ่งมาตามเส้นทางถนนต่างๆ ที่เชื่อมระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม-กว่างซี (R9 R8 และ R12) โดยในการขนส่ง มีการเปลี่ยนตู้สินค้า 2 ครั้ง ครั้งแรก ในช่วงจากไทยเข้าเวียดนาม และครั้งที่สอง ในช่วงจากจากเวียดนามเข้าจีน (พูดง่ายๆ ก็คือ มีพ่อค้าคนกลางชาวไทยหรือเวียดนามหรือจีน รับซื้อผลไม้จากชาวสวนหรือนายหน้าในไทย แล้วส่งผลไม้เหล่านั้นมาขายต่อในตลาดเวียดนามหรือจีน)
รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งผลไม้ไทย มีอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทแรก รถที่มีตู้รักษาอุณหภูมิความเย็น หรือที่เรียกว่า “ตู้รีฟเฟอร์” (Reefer container) ซึ่งผลไม้จะได้รับการบรรจุอย่างดีในลังพลาสติกสีแดง และ ประเภทที่สอง รถร้อนหรือรถบรรทุกที่มีกระบะธรรมดาๆ ซึ่งในช่วงการขนส่ง ผลไม้จะถูกบรรจุในลังพลาสติกหนัก 40-50 กิโลกรัม โดยในแต่ละลัง จะมีอัดน้ำแข็งไว้ด้านบน เพื่อรักษาความสดของผลไม้

Q: อาเซียนกับจีนได้จัดตั้งเขตการค้าเสรีร่วมกันแล้ว ซึ่งทำให้ผลไม้หลายชนิดของไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเมื่อเข้าสู่ตลาดจีน ทำไมผู้ประกอบการที่ตลาดไฮกรีนถึงเลือกที่จะนำเข้าผลไม้ไทยทางด่านชายแดน (ผู่จ้าย) ไม่ใช้ด่านโหยวอี้ (ซึ่งอยู่ห่างจากผู่จ้ายไม่กี่ กม.) ซึ่งเป็นด่านสากล
A: ผู้ประกอบการนิยมใช้ด่านผู่จ้าย เพราะมีขั้นตอนที่สะดวกรวดเร็วมากกว่า และมีต้นทุนที่ถูกกว่า (ด่านผู่จ้ายเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ประมาณ 15 หยวนต่อลังพลาสติก 25 กก. ขณะที่การนำเข้าผ่านด่านโหยวอี้ แม้ว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร แต่ผู้นำเข้ายังต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 13 ของราคาประเมิน) ตลอดจนมีการคุ้นเคยกับการทำการค้าชายแดนมานาน

Q:  ลูกค้าของผู้ประกอบการในไฮกรีนคือใคร?
A: ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ขายที่รับผลไม้ไปขายต่อภายในตลาดกว่างซี ขณะที่ส่วนหนึ่งของผลไม้เวียดนามและไทย อาทิ แก้วมังกร และมังคุด ที่ค้าขายกันอยู่ในไฮกรีน จะถูกกระจายต่อไปยังมณฑล/พื้นที่ข้างเคียง เช่น หูหนาน กุ้ยโจว จ้านเจียง (มณฑลกว่างตง) และไห่หนาน    
อย่างไรก็ดี หากเทียบกับตลาดเจียงหนานในนครกว่างโจวในฐานะที่เป็นจุดกระจายผลไม้แล้ว การกระจายสินค้าจากไฮกรีนไปยังพื้นที่อื่นๆ นอกกว่างซี ยังคงมีปริมาณน้อยอยู่มาก
      ไฮกรีน มีผู้ประกอบการเป็นอยู่กว่า 6,530 ราย กระจายกันอยู่ทั่วกว่างซี นอกจากนี้ บริษัทที่ให้บริการส่งผลไม้ให้กับซุปเปอร์มาเก็ต 6 รายใหญ่ในกว่างซี (วอล์มาร์ท เป่ยจิงฮวาเหลียน หนานเฉิงป่ายฮั่ว) ก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่ในไฮกรีนแล้ว


Q: ไฮกรีนมีนโยบายพิเศษใดๆ หรือไม่ เพื่อดึงดูดให้ตลาดฯ เป็น Hub หรือจุดกระจายผลไม้อาเซียน
A: ไฮกรีน มีโปรโมชั่น “ฟรีค่าเช่าพื้นที่ 1 ปี” เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการจากที่ต่างๆ รวมถึงผู้ประกอบการจากประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากนี้ ไฮกรีนก็ยังคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ ในราคาที่ต่ำ อาทิ คิดค่าจอดรถบรรทุกเพียง 100 หยวน/คัน/การผ่านเข้าออก (ตลาดเจียงหนานในนครกว่างโจว คิดค่าจอด 200 หยวน/คัน/ระยะเวลาที่กำหนด)

Q: ไฮกรีนแตกต่างจากตลาดจินเฉียว (ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรอีกแห่งของนครหนาน หนิง) อย่างไร?
A:   จุดเด่นที่สำคัญของไฮกรีน คือ ทำเลที่ตั้งที่อยู่ในศูนย์กลางของเส้นทางคมนาคมขนส่ง กล่าวคือ ไฮกรีนตั้งอยู่ใกล้ตลาดอู๋หลี่ถิง (Wuliting Vegetable Wholesale Market, 五里亭蔬菜批发市场) ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรเก่าแก่ของนครหนานหนิง เพียง 5 กม. (พ่อค้าแม่ค้าในตลาดอู๋ หลี่ถิงกว่าร้อยละ 97 จะย้ายมาตั้งร้านค้าในไฮกรีนเร็วๆ นี้) ขณะที่ตลาดจินเฉียวอยู่ห่างจากตลาดอู๋หลี่ถิงถึง 20 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ไฮกรีนตั้งอยู่ติดถนนวงแหวนรอบนอกที่หนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมสู่มณฑลข้างเคียงได้สะดวกรวดเร็ว อยู่ใกล้สถานีรถไฟสายใต้ อยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติอู๋ซวีนครหนานหนิงเพียง 20 นาที รวมถึงใกล้ด่านพรมแดนจีน-เวียดนาม


.....จากการลงพื้นที่ดูงาน มีข้อสังเกตและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้าผลไม้ไทยในตลาดจีน รวมถึงตลาดกว่างซี ดังนี้ 

หนึ่ง รัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน โดยเฉพาะรัฐบาลระดับมณฑลของเขตฯ กว่างซีจ้วง มีเป้าหมายที่เหมือนกัน คือ ส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ถนนที่เชื่อมระหว่างภาคอีสานของไทยกับกว่างซีของจีนในเชิงพาณิชย์ พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้เพื่อส่งสินค้าและการท่องเที่ยว โดยในส่วนของไทย ก็มีการผลักดันให้ใช้เส้นทางดังกล่าวเพื่อขนส่งผลไม้จากไทยไปจีน 

อย่างไรก็ดี 
ในปัจจุบัน เป้าหมายการใช้ถนน R9 (มุกดาหาร-ด่านโหยวอี้กวานของกว่างซี) เพื่อส่งผลไม้ไทย กำลังเจอปัญหาใหญ่ เพราะในช่วงครึ่งแรกของปี 54 กว่างซีนำเข้าผลไม้ไทยทางด่านโหยวอี้กวาน ศูนย์บาท!!!!!!!!!  ทั้งๆ ที่ปี 2553 ไทยใช้เส้นทางดังกล่าวส่งผลไม้ไปจีน ประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 90 ล้านบาท)  น้ำหนักรวม 2.43 ล้าน กก.  

สอง ขณะที่การขนส่งผลไม้ไทยผ่านด่านโหยวอี้กวาน ซึ่งเป็นด่านสากล ลงลดจนเหลือศูนย์ แต่ผลไม้ไทยกลับถูกลำเลียงเข้าจีนอย่างคึกคัก (ในฐานะสินค้าเวียดนาม) ผ่านด่านผู่จ้าย ซึ่งเป็นด่านการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม (ซึ่งไม่มีการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการ) ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ 

(1) เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน จีนให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ชาวชายแดนในการขนส่งสิ่งของผ่านด่านชายแดน (ไม่เก็บภาษีใดๆ ทั้งภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม) หากเป็นการขนส่งสิ่งของที่มีมูลค่าไม่เกิน 8
,000 หยวนต่อวันต่อคน (ประมาณ 40,000 บาท) 

ทั้งนี้ ตามคำบอกเล่า หากเป็นการขนส่งผลไม้เชิงพาณิชย์
  จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการผ่านแดนไม่มากนัก (ผู้ประกอบการเรียกค่าธรรมเนียมดังกล่าวว่า “ภาษีท้องถิ่น) กล่าวคือ 15 หยวนต่อหนึ่งตระกร้าผลไม้ที่มีน้ำหนัก 25 กก. หรือเรียกเก็บแบบเหมาจ่าย 1,000 –2,000 หยวนต่อคันรถ (ขึ้้นอยู่กับชนิดของผลไม้) 

(2) การดำเนินพิธีการผ่านแดนของสินค้าบริเวณด่านผู่จ้ายมีความสะดวกรวดเร็วมากกว่าด่านโหย่วอี้กวาน (จากคำบอกเล่า...ที่ด่านผู่จ้าย มีบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์พิเศษ (
กวนซี) กับศุลกากร หน่วยงานตรวจสอบคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (CIQ) และสำนักงานภาษีท้องถิ่น ซึ่งทำให้การส่งสินค้าผ่านแดนเป็นไปอย่างสะดวกโยธิน) 

(3) ด่านโหย่วอี้กวาน ตั้งราคาประเมินกลาง (ซึ่งเป็นฐานของการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจีนเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 13 สำหรับผลไม้สด) ของผลไม้ไทยไว้สูง ทำให้ต้นทุนสูงตามไปด้วย อาทิ มังคุดไทย 1 กก. มีราคาประเมินประมาณ 22 หยวน ดังนั้น จึงถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 หยวน/กก.
  (หรือเท่ากับ 75 หยวนต่อตะกร้าน้ำหนัก 25 กก. ซึ่งต่างจากการเข้าทางด่านผู่จ้ายที่เสียค่าธรรมเนียม 15 หยวนต่อหนึ่งตะกร้า) 

สาม พ่อค้าคนกลางชาวเวียดนามมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการค้าขายผลไม้ระหว่างไทยกับกว่างซี โดยจากคำบอกเล่า... มีพ่อค้าแม่ขายชาวเวียดนามจำนวนมากไป “ตกเขียว” ผลไม้ไทยถึงหน้าสวนก่อนนำไปคัดแยกในเวียดนาม เพื่อขายในตลาดเวียดนาม และขายต่ออีกทอดหนึ่งมายังตลาดกว่างซี 

ในประเด็นนี้ หากดูเผินๆ ไทยเราก็ไม่น่าจะเสียประโยชน์อะไร เพราะอย่างไรก็ตาม ผลไม้ไทยก็ถูกส่งออกไปยังตลาดจีนอยู่ดี และชาวสวนไทยก็ขายผลไม้ได้ ไม่ว่าพ่อค้าคนกลางจะเป็นคนสัญชาติใด เพียงแต่มังคุดไทยต้องเปลี่ยนจากการสวม “ชฏา” ในฐานะสินค้าของไทยไปใส่ “อ๋าวหญ่าย” ตอนผ่านแดนเข้าจีน ในฐานะสินค้าของเวียดนามแทน 

แต่หากพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้ว การกระทำดังกล่าวได้ส่งผลกระทบมากมายต่อสถานการณ์ผลไม้ไทยในจีน โดยเฉพาะในตลาดกว่างซี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสูญเสียตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-จีน การสูญเสียสถานะของผลไม้ไทยในตลาดจีน ตลอดจนภาพลักษณ์และชื่อเสียงของผลไม้ไทย
 

สี่ ช่องโหว่ของการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม ซึ่งคนชายแดนเองเขาก็ยอมรับว่าเป็น “การค้าสีเทา” ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศระหว่างจีนกับอาเซียน และระหว่างกว่างซีกับไทย โดยเฉพาะผ่าน R9 (มุกดาหาร-ด่านโหยวอี้กวาน) และ R12 (นครพนม-ด่านโหยวอี้กวาน) หรือที่ฝ่ายจีนเรียกรวมๆ ว่า “ระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-สิงคโปร์” 

ในประเด็นนี้ ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า อันที่จริงแล้ว ในปัจจุบัน จีนอนุญาตการนำเข้าเฉพาะมังคุดที่ปลูกในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และพม่า 4 ประเทศเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่คือ ชาวชายแดนจีนหรือเวียดนามใช้ช่องโหว่ตามตะเข็บชายแดนส่งมังคุด
 “เวียดนามเข้ามาตีตลาดจีนได้เป็นจำนวนมาก (ทั้งนี้ จริงๆ แล้ว คือ มังคุดเวียดนามดังกล่าว ก็คือมังคุดไทย แต่ชาวชายแดนต้องลงทะเบียนเป็นมังคุดเวียดนาม เพื่อรับสิทธิการค้าชายแดน ทั้งๆ ที่มังคุดเวียดนาม ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าประเทศจีน – หมายเหตุ หากอ่านประโยคนี้แล้วงง ขอให้อ่านซ้ำอีกครั้งครับ) 


ห้า การผลักดันให้ใช้ R9 และ R12 เพื่อ “การค้าระหว่างประเทศ” น่าจะให้ประโยชน์ในระยะยาวแก่ไทยมากกว่าการขายต่อผ่าน “การค้าชายแดน”  (ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ดังนั้น ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ กล่าวคือ ภาคเอกชนต้องร่วมกันพัฒนาและผลักดันรูปแบบการค้าจาก “การค้าชายแดน” สู่ “การค้าข้ามแดน” ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งเจรจาหาทางแก้ไขปัญหาที่ภาคเอกชนต้องประสบ (ราคาประเมินกลาง ระเบียบขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากร) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาการค้าข้ามแดน และเป็นแรงจูงใจของผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกอีกด้วย 

หก การเปิดตัวของ ไฮกรีน เพื่อเป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ทำให้กว่างซีมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นในการเป็นจุดกระจายผลไม้ไทยในตลาดจีน โดยเฉพาะผลไม้ที่มาจากการขนส่งทางถนนที่จะสดและใหม่กว่าผลไม้ที่ขนส่งทางท่าเรือ ขณะที่ในปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ประกอบการไทยใน ไฮกรีนเลยแม้แต่รายเดียว ความท้าทาย จึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายไทยเองจะหยิบฉวยและใช้ประโยชน์จากศักยภาพดังกล่าวอย่างไร?

Resource from :
9 Nov 2011
http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-facts/detail.php?IBLOCK_ID=70&SECTION_ID=527&ELEMENT_ID=8965