แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Chiang Khong แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Chiang Khong แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยุทธศาสตร์กวางสี : ประตูสู่อาเซียนของจีน ตอนที่ 1 ;

ศูนย์โลจิสติกส์สินค้าเกษตรระหว่างประเทศไฮพีเรียนกว่างซี
(Guangxi Hyperion International Agricultural Logistic Center,
 广西海吉星农产品国际物流中心)
ศูนย์โลจิสติกส์สินค้าเกษตรระหว่างประเทศ ไฮพีเรียนกว่างซี มีบริษัท Shenzhen Agricultural products (深圳市农产品股份有限公司) เป็นนายทุน ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านหยวน (ประมาณ 750 ล้านบาท) เมื่อเดือน ส.ค. 54 ที่ผ่านมา ไฮพีเรียน ได้ประกาศรีแบรนด์และเปิดตัวโลโก้ใหม่ของบริษัทฯ ภายใต้คอนเซปต์ “สีเขียว - ปลอดภัยและรักษ์สิ่งแวดล้อม” โดยได้เปลี่ยนชื่อตัวเองด้วย จาก  ไฮพีเรียน เป็น “ไฮกรีน” (HIGREEN)  โดยได้วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นตลาดขายส่งสินค้าเกษตรที่มีความทันสมัยแห่งใหม่ของนครหนานหนิง โดยมีเป้าหมายเพื่อมาแทนตลาดค้าขายส่งผักและผลไม้เดิมๆ ของนครหนานหนิง รวมถึงการเป็นศูนย์กระจายผลไม้อาเซียนไปยังพื้นที่อื่นๆ ของจีน


ไฮกรีน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 252.5 ไร่ (ประมาณ 606 หมู่จีน) มีพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง 5.2 แสน ตร.ม. และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,340 ล้านหยวน   แผนการก่อสร้างไฮกรีน แบ่งออกเป็น 3 เฟส โดย เฟสแรก ซึ่งประกอบด้วยเขตการค้าพืชผักและผลไม้ และเขตผลไม้นำเข้าอาเซียน บนเนื้อที่ประมาณ 62.5 ไร่ (150 หมู่จีน) เปิดดำเนินการแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2554    จากการสัมภาษณ์ คุณ Yu Shaoping รองผู้จัดการใหญ่ตลาดไฮกรีน  ตลอดจนพ่อค้าขายผลไม้ไทยชาวจีนที่ขายส่งอยู่ที่ตลาดไฮกรีนด้วย จึงขอถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ ในรูป Q&A มา ณ ที่นี้

Q: ตั้งแต่เปิดดำเนินการจนถึงปัจจุบัน ผลประกอบการของไฮกรีนเป็นอย่างไร?
A:   ในหนึ่งวัน ตลาดฯ มีปริมาณซื้อขายผักและผลไม้เฉลี่ย 2,500 ตัน โดยมีรถบรรทุกสินค้าขนาด 20 ตันผ่านเข้า-ออกเฉลี่ยวันละ 100-150 คัน ทั้งนี้ ในช่วงพีค อาทิ เทศกาลต่างๆ ปริมาณการซื้อขายเคยสูงถึงวันละ 5,660 ตัน และมีรถบรรทุกผ่านเข้าออกถึง 300 คันต่อวัน

Q: ผลไม้ส่วนใหญ่ในตลาดไฮกรีนมากจากไหน?
A:   มาจาก 2 แหล่ง คือ ผลไม้ภายในประเทศ และผลไม้นำเข้า
ผลไม้ในประเทศ มีทั้งผลไม้ท้องถิ่นกว่างซี (อาทิ ลิ้นจี่ ลำไย ส้มโอ กล้วย) และผลไม้จากต่างมณฑล เช่น องุ่น แคนตาลูป สาลี่หอมจากซินเจียง แอปเปิ้ลจากมณฑลซางตง ส่านซี ซานซี และกานซู่ ส้มจากมณฑลเจียงซี ลูกแพรจากมณฑลอันฮุย และพุทราเขียวจากมณฑลเหอเป่ย
      สำหรับผลไม้นำเข้า ส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเข้ามาทางด่านผู่จ้าย (จุดผ่อนปรนการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม) อำเภอระดับเมืองผิงเสียง เมืองฉงจั่ว เขตฯ กว่างซีจ้วง อาทิ แก้วมังกรเวียดนาม และมังคุดไทย (ซึ่งต้องลงทะเบียนผ่านด่านผู่จ้ายในฐานะมังคุดเวียดนาม) ซึ่งเคยเข้ามาที่ตลาดฯ สูงสุดถึง 20 คันรถในหนึ่งวัน คิดเป็นน้ำหนักราว 400 ตัน ขณะที่ลำไยและทุเรียนไทย ส่วนใหญ่รับต่อมาจากตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจว
   นอกจากนี้ ยังมีผลไม้เมืองหนาวจากยุโรป อเมริกา แคนาดา และนิวซีแลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการรับต่อจากตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจวเช่นกัน

Q:   ผลไม้อาเซียน มีวิธีการขนส่งมาที่ตลาดไฮกรีนอย่างไร?
A: โดยทั่วไป ผลไม้ต่างประเทศ รวมถึงผลไม้อาเซียน เข้ามาในตลาดของประเทศจีนได้ 3 ทาง คือ ทางเครื่องบิน ทางเรือ และทางรถยนต์ โดยหากเป็นการนำเข้ามาทางเครื่องบินและเรือ ส่วนใหญ่จะตรงไปที่ตลาดเจียงหนานของนครกว่างโจว ก่อนจะถูกกระจายต่อไปสู่พื้นที่ต่างๆ ของจีน รวมถึงตลาดไฮกรีน ซึ่งจะมีพ่อค้าไปรับซื้อผลไม้ต่างประเทศจากตลาดเจียงหนานมาขายต่อ
      ในส่วนของผลไม้อาเซียนที่พ่อค้าในตลาดไฮกรีนนำเข้าทางรถยนต์ ส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้จากไทยและเวียดนาม
ในกรณีของผลไม้ไทย นั้น จะถูกลำเลียงเข้ามาทางด่านผู่จ้าย (ด่านการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม) โดยเป็นการนำเข้าในนามสินค้าเวียดนาม  กล่าวคือ ผลไม้จะถูกส่งออกจากภาคอีสานของไทยโดยรถบรรทุก ซึ่งวิ่งมาตามเส้นทางถนนต่างๆ ที่เชื่อมระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม-กว่างซี (R9 R8 และ R12) โดยในการขนส่ง มีการเปลี่ยนตู้สินค้า 2 ครั้ง ครั้งแรก ในช่วงจากไทยเข้าเวียดนาม และครั้งที่สอง ในช่วงจากจากเวียดนามเข้าจีน (พูดง่ายๆ ก็คือ มีพ่อค้าคนกลางชาวไทยหรือเวียดนามหรือจีน รับซื้อผลไม้จากชาวสวนหรือนายหน้าในไทย แล้วส่งผลไม้เหล่านั้นมาขายต่อในตลาดเวียดนามหรือจีน)
รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งผลไม้ไทย มีอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภทแรก รถที่มีตู้รักษาอุณหภูมิความเย็น หรือที่เรียกว่า “ตู้รีฟเฟอร์” (Reefer container) ซึ่งผลไม้จะได้รับการบรรจุอย่างดีในลังพลาสติกสีแดง และ ประเภทที่สอง รถร้อนหรือรถบรรทุกที่มีกระบะธรรมดาๆ ซึ่งในช่วงการขนส่ง ผลไม้จะถูกบรรจุในลังพลาสติกหนัก 40-50 กิโลกรัม โดยในแต่ละลัง จะมีอัดน้ำแข็งไว้ด้านบน เพื่อรักษาความสดของผลไม้

Q: อาเซียนกับจีนได้จัดตั้งเขตการค้าเสรีร่วมกันแล้ว ซึ่งทำให้ผลไม้หลายชนิดของไทยได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเมื่อเข้าสู่ตลาดจีน ทำไมผู้ประกอบการที่ตลาดไฮกรีนถึงเลือกที่จะนำเข้าผลไม้ไทยทางด่านชายแดน (ผู่จ้าย) ไม่ใช้ด่านโหยวอี้ (ซึ่งอยู่ห่างจากผู่จ้ายไม่กี่ กม.) ซึ่งเป็นด่านสากล
A: ผู้ประกอบการนิยมใช้ด่านผู่จ้าย เพราะมีขั้นตอนที่สะดวกรวดเร็วมากกว่า และมีต้นทุนที่ถูกกว่า (ด่านผู่จ้ายเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ ประมาณ 15 หยวนต่อลังพลาสติก 25 กก. ขณะที่การนำเข้าผ่านด่านโหยวอี้ แม้ว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร แต่ผู้นำเข้ายังต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 13 ของราคาประเมิน) ตลอดจนมีการคุ้นเคยกับการทำการค้าชายแดนมานาน

Q:  ลูกค้าของผู้ประกอบการในไฮกรีนคือใคร?
A: ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ขายที่รับผลไม้ไปขายต่อภายในตลาดกว่างซี ขณะที่ส่วนหนึ่งของผลไม้เวียดนามและไทย อาทิ แก้วมังกร และมังคุด ที่ค้าขายกันอยู่ในไฮกรีน จะถูกกระจายต่อไปยังมณฑล/พื้นที่ข้างเคียง เช่น หูหนาน กุ้ยโจว จ้านเจียง (มณฑลกว่างตง) และไห่หนาน    
อย่างไรก็ดี หากเทียบกับตลาดเจียงหนานในนครกว่างโจวในฐานะที่เป็นจุดกระจายผลไม้แล้ว การกระจายสินค้าจากไฮกรีนไปยังพื้นที่อื่นๆ นอกกว่างซี ยังคงมีปริมาณน้อยอยู่มาก
      ไฮกรีน มีผู้ประกอบการเป็นอยู่กว่า 6,530 ราย กระจายกันอยู่ทั่วกว่างซี นอกจากนี้ บริษัทที่ให้บริการส่งผลไม้ให้กับซุปเปอร์มาเก็ต 6 รายใหญ่ในกว่างซี (วอล์มาร์ท เป่ยจิงฮวาเหลียน หนานเฉิงป่ายฮั่ว) ก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่ในไฮกรีนแล้ว


Q: ไฮกรีนมีนโยบายพิเศษใดๆ หรือไม่ เพื่อดึงดูดให้ตลาดฯ เป็น Hub หรือจุดกระจายผลไม้อาเซียน
A: ไฮกรีน มีโปรโมชั่น “ฟรีค่าเช่าพื้นที่ 1 ปี” เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการจากที่ต่างๆ รวมถึงผู้ประกอบการจากประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากนี้ ไฮกรีนก็ยังคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ ในราคาที่ต่ำ อาทิ คิดค่าจอดรถบรรทุกเพียง 100 หยวน/คัน/การผ่านเข้าออก (ตลาดเจียงหนานในนครกว่างโจว คิดค่าจอด 200 หยวน/คัน/ระยะเวลาที่กำหนด)

Q: ไฮกรีนแตกต่างจากตลาดจินเฉียว (ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรอีกแห่งของนครหนาน หนิง) อย่างไร?
A:   จุดเด่นที่สำคัญของไฮกรีน คือ ทำเลที่ตั้งที่อยู่ในศูนย์กลางของเส้นทางคมนาคมขนส่ง กล่าวคือ ไฮกรีนตั้งอยู่ใกล้ตลาดอู๋หลี่ถิง (Wuliting Vegetable Wholesale Market, 五里亭蔬菜批发市场) ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรเก่าแก่ของนครหนานหนิง เพียง 5 กม. (พ่อค้าแม่ค้าในตลาดอู๋ หลี่ถิงกว่าร้อยละ 97 จะย้ายมาตั้งร้านค้าในไฮกรีนเร็วๆ นี้) ขณะที่ตลาดจินเฉียวอยู่ห่างจากตลาดอู๋หลี่ถิงถึง 20 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ไฮกรีนตั้งอยู่ติดถนนวงแหวนรอบนอกที่หนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมสู่มณฑลข้างเคียงได้สะดวกรวดเร็ว อยู่ใกล้สถานีรถไฟสายใต้ อยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติอู๋ซวีนครหนานหนิงเพียง 20 นาที รวมถึงใกล้ด่านพรมแดนจีน-เวียดนาม


.....จากการลงพื้นที่ดูงาน มีข้อสังเกตและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการค้าผลไม้ไทยในตลาดจีน รวมถึงตลาดกว่างซี ดังนี้ 

หนึ่ง รัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน โดยเฉพาะรัฐบาลระดับมณฑลของเขตฯ กว่างซีจ้วง มีเป้าหมายที่เหมือนกัน คือ ส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ถนนที่เชื่อมระหว่างภาคอีสานของไทยกับกว่างซีของจีนในเชิงพาณิชย์ พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้เพื่อส่งสินค้าและการท่องเที่ยว โดยในส่วนของไทย ก็มีการผลักดันให้ใช้เส้นทางดังกล่าวเพื่อขนส่งผลไม้จากไทยไปจีน 

อย่างไรก็ดี 
ในปัจจุบัน เป้าหมายการใช้ถนน R9 (มุกดาหาร-ด่านโหยวอี้กวานของกว่างซี) เพื่อส่งผลไม้ไทย กำลังเจอปัญหาใหญ่ เพราะในช่วงครึ่งแรกของปี 54 กว่างซีนำเข้าผลไม้ไทยทางด่านโหยวอี้กวาน ศูนย์บาท!!!!!!!!!  ทั้งๆ ที่ปี 2553 ไทยใช้เส้นทางดังกล่าวส่งผลไม้ไปจีน ประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 90 ล้านบาท)  น้ำหนักรวม 2.43 ล้าน กก.  

สอง ขณะที่การขนส่งผลไม้ไทยผ่านด่านโหยวอี้กวาน ซึ่งเป็นด่านสากล ลงลดจนเหลือศูนย์ แต่ผลไม้ไทยกลับถูกลำเลียงเข้าจีนอย่างคึกคัก (ในฐานะสินค้าเวียดนาม) ผ่านด่านผู่จ้าย ซึ่งเป็นด่านการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม (ซึ่งไม่มีการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการ) ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ 

(1) เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดน จีนให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่ชาวชายแดนในการขนส่งสิ่งของผ่านด่านชายแดน (ไม่เก็บภาษีใดๆ ทั้งภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม) หากเป็นการขนส่งสิ่งของที่มีมูลค่าไม่เกิน 8
,000 หยวนต่อวันต่อคน (ประมาณ 40,000 บาท) 

ทั้งนี้ ตามคำบอกเล่า หากเป็นการขนส่งผลไม้เชิงพาณิชย์
  จะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการผ่านแดนไม่มากนัก (ผู้ประกอบการเรียกค่าธรรมเนียมดังกล่าวว่า “ภาษีท้องถิ่น) กล่าวคือ 15 หยวนต่อหนึ่งตระกร้าผลไม้ที่มีน้ำหนัก 25 กก. หรือเรียกเก็บแบบเหมาจ่าย 1,000 –2,000 หยวนต่อคันรถ (ขึ้้นอยู่กับชนิดของผลไม้) 

(2) การดำเนินพิธีการผ่านแดนของสินค้าบริเวณด่านผู่จ้ายมีความสะดวกรวดเร็วมากกว่าด่านโหย่วอี้กวาน (จากคำบอกเล่า...ที่ด่านผู่จ้าย มีบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์พิเศษ (
กวนซี) กับศุลกากร หน่วยงานตรวจสอบคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (CIQ) และสำนักงานภาษีท้องถิ่น ซึ่งทำให้การส่งสินค้าผ่านแดนเป็นไปอย่างสะดวกโยธิน) 

(3) ด่านโหย่วอี้กวาน ตั้งราคาประเมินกลาง (ซึ่งเป็นฐานของการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจีนเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 13 สำหรับผลไม้สด) ของผลไม้ไทยไว้สูง ทำให้ต้นทุนสูงตามไปด้วย อาทิ มังคุดไทย 1 กก. มีราคาประเมินประมาณ 22 หยวน ดังนั้น จึงถูกเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 หยวน/กก.
  (หรือเท่ากับ 75 หยวนต่อตะกร้าน้ำหนัก 25 กก. ซึ่งต่างจากการเข้าทางด่านผู่จ้ายที่เสียค่าธรรมเนียม 15 หยวนต่อหนึ่งตะกร้า) 

สาม พ่อค้าคนกลางชาวเวียดนามมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการค้าขายผลไม้ระหว่างไทยกับกว่างซี โดยจากคำบอกเล่า... มีพ่อค้าแม่ขายชาวเวียดนามจำนวนมากไป “ตกเขียว” ผลไม้ไทยถึงหน้าสวนก่อนนำไปคัดแยกในเวียดนาม เพื่อขายในตลาดเวียดนาม และขายต่ออีกทอดหนึ่งมายังตลาดกว่างซี 

ในประเด็นนี้ หากดูเผินๆ ไทยเราก็ไม่น่าจะเสียประโยชน์อะไร เพราะอย่างไรก็ตาม ผลไม้ไทยก็ถูกส่งออกไปยังตลาดจีนอยู่ดี และชาวสวนไทยก็ขายผลไม้ได้ ไม่ว่าพ่อค้าคนกลางจะเป็นคนสัญชาติใด เพียงแต่มังคุดไทยต้องเปลี่ยนจากการสวม “ชฏา” ในฐานะสินค้าของไทยไปใส่ “อ๋าวหญ่าย” ตอนผ่านแดนเข้าจีน ในฐานะสินค้าของเวียดนามแทน 

แต่หากพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้ว การกระทำดังกล่าวได้ส่งผลกระทบมากมายต่อสถานการณ์ผลไม้ไทยในจีน โดยเฉพาะในตลาดกว่างซี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสูญเสียตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-จีน การสูญเสียสถานะของผลไม้ไทยในตลาดจีน ตลอดจนภาพลักษณ์และชื่อเสียงของผลไม้ไทย
 

สี่ ช่องโหว่ของการค้าชายแดนจีน-เวียดนาม ซึ่งคนชายแดนเองเขาก็ยอมรับว่าเป็น “การค้าสีเทา” ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศระหว่างจีนกับอาเซียน และระหว่างกว่างซีกับไทย โดยเฉพาะผ่าน R9 (มุกดาหาร-ด่านโหยวอี้กวาน) และ R12 (นครพนม-ด่านโหยวอี้กวาน) หรือที่ฝ่ายจีนเรียกรวมๆ ว่า “ระเบียงเศรษฐกิจหนานหนิง-สิงคโปร์” 

ในประเด็นนี้ ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า อันที่จริงแล้ว ในปัจจุบัน จีนอนุญาตการนำเข้าเฉพาะมังคุดที่ปลูกในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และพม่า 4 ประเทศเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่คือ ชาวชายแดนจีนหรือเวียดนามใช้ช่องโหว่ตามตะเข็บชายแดนส่งมังคุด
 “เวียดนามเข้ามาตีตลาดจีนได้เป็นจำนวนมาก (ทั้งนี้ จริงๆ แล้ว คือ มังคุดเวียดนามดังกล่าว ก็คือมังคุดไทย แต่ชาวชายแดนต้องลงทะเบียนเป็นมังคุดเวียดนาม เพื่อรับสิทธิการค้าชายแดน ทั้งๆ ที่มังคุดเวียดนาม ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าประเทศจีน – หมายเหตุ หากอ่านประโยคนี้แล้วงง ขอให้อ่านซ้ำอีกครั้งครับ) 


ห้า การผลักดันให้ใช้ R9 และ R12 เพื่อ “การค้าระหว่างประเทศ” น่าจะให้ประโยชน์ในระยะยาวแก่ไทยมากกว่าการขายต่อผ่าน “การค้าชายแดน”  (ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) ดังนั้น ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ กล่าวคือ ภาคเอกชนต้องร่วมกันพัฒนาและผลักดันรูปแบบการค้าจาก “การค้าชายแดน” สู่ “การค้าข้ามแดน” ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งเจรจาหาทางแก้ไขปัญหาที่ภาคเอกชนต้องประสบ (ราคาประเมินกลาง ระเบียบขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากร) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาการค้าข้ามแดน และเป็นแรงจูงใจของผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกอีกด้วย 

หก การเปิดตัวของ ไฮกรีน เพื่อเป็นจุดนัดพบระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ทำให้กว่างซีมีศักยภาพมากยิ่งขึ้นในการเป็นจุดกระจายผลไม้ไทยในตลาดจีน โดยเฉพาะผลไม้ที่มาจากการขนส่งทางถนนที่จะสดและใหม่กว่าผลไม้ที่ขนส่งทางท่าเรือ ขณะที่ในปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ประกอบการไทยใน ไฮกรีนเลยแม้แต่รายเดียว ความท้าทาย จึงอยู่ที่ว่า ฝ่ายไทยเองจะหยิบฉวยและใช้ประโยชน์จากศักยภาพดังกล่าวอย่างไร?

Resource from :
9 Nov 2011
http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/china-facts/detail.php?IBLOCK_ID=70&SECTION_ID=527&ELEMENT_ID=8965

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เอกสารประกอบการบรรยาย AEC : SMEs Business Plan Preparation@Chiang Rai on 30 04 2013 - 01 05 2013

        เอกสารประกอบการบรรยาย AEC : SMEs Business Plan Preparation@Chiang Rai  , 30 04 2013 - 01 05 2013 










วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมืองชายแดน ตอนที่ 2 : เชียงของและสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 - the Connecting Points to R3A


           ตอนที่ 2 :
 เชียงของและสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 
the Connecting Points to R3A 



จุดเชื่อมต่อ หรือ The Connecting Points  ของเมืองชายแดนในบริบทของการพัฒนาพื้นที่ระหว่างประเทศ หมายถึง จุดที่เชื่่อมจากพื้นที่ที่แสดงเขตแดนที่เคยพึ่งพิงตนเองได้ในเขตแดนของประเทศหรืออาณาจักรที่มีอธิปไตยของตนเป็นจุดสุดท้าย  ที่จะทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับเขตแดนของอีกประเทศ โดยมีลักษณะพิเศษของเป้าหมายในการเชื่อมต่อเพื่อข้ามเขต  ไปผ่านดินแดนไปยังเขตแดนในประเทศอื่นๆ หรือไปแสวงหาทรัพยากร  สินค้าและบริการใดๆในเขตแดนนั้น บนเงื่อนไขที่ดีกว่าท้้งในแง่ของราคา  คุณภาพและความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย กับประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง( Greater Mekong Subregion )  เมื่อพิจารณาจาก ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงทางเศรษฐกิจ ก็จะพบว่าโอกาสและความสำคัญของอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย นั้นมีศักยภาพสูง ในการเป็นเมืองชายแดนที่เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.เมืองเชียงของเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ในที่นี้คือ ประเทศ สปป.ลาวและที่สำคัญเมืองเชียงของยังเป็นจุดผ่านแดนไปยังมณฑลยูนนาน  และมณฑลกวางสี ที่อยู่บนภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีประชากรอยู่เกือบหนึ่งร้อยล้านคน  และเมืองเชียงของก็กำลังจะเปิดจุดผ่านแดนถาวร ณ สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เข้าสู่ ประเทศ สปป.ลาว ตอนเหนือ ณ เมืองห้วยทราย  แขวงบ่อแก้วโดยตรงในปี 2556 นี้


2. เมืองเชียงของเป็นจุดกึ่งกลาง โดยประมาณของ เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจสายเหนือ-ใต้ ( North - South Economic Corridor ) ระหว่างนครคุนหมิง และกรุงเทพมหานคร ด้วยระยะทาง จากกรุงเทพมหานคร ถึง เชียงราย 829 กิโลเมตรและเชียงรายถึงเชียงของอีก 137 กิโลเมตร รวมเป็น 966 กิโลเมตร  และจากแขวงบ่อแก้ว ผ่านแขวงหลวงน้ำทา ด้วยระยะทาง 185 กิโลเมตรและต่อไปถึง เมืองเสี่ยวเมียนยาง ( Xiaomenyang ) บนจุดตัดระหว่างเส้นทาง R3A และ R3B และจากเมืองเสี่ยวเมียนยาง ถึงนครคุนหมิงอีก 713 กิโลเมตร รวมเป็นจากแขวงบ่อแก้วถึงนครคุนหมิง เป็นระยะทาง 898 กิโลเมตร รวมระยะทางทั้งสิ้นจากกรุงเทพมหานคร ถึงนครคุนหมิง เป็นระยะทาง 1,864 กิโลเมตร ดังนั้นเมืองเชียงของถือได้ว่าเป็นจุดพักกลางทางที่ลงตัวในการเดินทางระยะทางเกือบ 2,000 กิโลเมตรของผู้ที่จะเดินทางโดยใช้รถยนต์ระหว่างมหานครทั้งสองแห่ง จากการเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมงในประเทศไทย  และ14 ชั่วโมงภายในประเทศ สปป.ลาวและภายในมณฑลยูนนาน  ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน



3. เมืองเชียงของเป็นประตูผ่านแดนที่สำคัญ  ทั้งเป็นทางออกและทางเข้าในการเข้าสู่ตลาดและฐานการผลิตขนาดใหญ่ที่มีกำลังแรงงานและกำลังซื้อในประเทศไทย และเป็นจุดผ่านไปยังตลาดที่มีกำลังซื้อขนาดใหญ่ในมณฑลยูนนาน และอยู่จุดกึ่งกลางระหว่าง ตลาดขนาดใหญ่ท้้งสองตลาด (กรุงเทพมหานครและนครคุนหมิง)  ดังนั้นในกรณีนี้ ก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมที่จะตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน  ซึ่งมีแผนงาน โครงการฯที่จะตั้งขึ้นที่อำเภอเชียงของนี้  โดยผลผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมที่จะจัดตั้งขึ้นสามารถที่จะเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่ทั้งสองแห่งนี้ได้ในระยะเวลา 12 - 14 ชั่วโมงเท่านั้น ทั้งนี้ ในเขตชายแดนลาว - จีน ได้มีโครงการเขตเศรษฐกิจความร่วมมือระหว่างประเทศ โมฺฮัน-โมติน(The Mohan and Motin Transnational Economic Corporation Zone ) ขึ้นที่พรมแดน บนเนื้อที่ 1,640 เฮคตาร์ บนสัญญา 90 ปี จากรัฐบาลทั้งสองประเทศ 



4. เมืองเชียงของเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาเป็นระยะเวลาพอสมควร  ทำให้เมืองเชียงของมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในอุตสาหกรรมบริการและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  เนื่องจากมีบุคลากรที่มีองค์ความรุ้ด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยวและการบริการและมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ สามารถพัฒนาทักษะระดัยสูงได้ไม่ยากนัก อีกทั้งน่าจะเป็นผู้บุกเบิกและผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ความสำเร็จในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวบนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจสายนี้

5. เมืองเชียงของ เป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นทางสู่มหานครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ซึ่งมีประชากรมากกว่า 46 ล้านคนและมีการเดินทางผ่านแดน เข้าสู่เขตแดนประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก  ไม่ว่าจะเป็นเข้าสู่ประเทศเมียนมาร์ ผ่านด่านRuili  ซึ่งมีจำนวนถึง 5.5 ล้านคน(ปี 2006)   เข้าสู่ประเทศเวียดนาม ผ่านด่านHekou ซึ่งมีจำนวน 3.5 ล้านคน (ปี 2006)  แต่การผ่านด่าน Mohan หรือ Boten เข้าสู่ประเทศ สปป.ลาวมีจำนวนเพียง 0.35 ล้านคน(ปี2006)  ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเส้นทาง R3A สามารถเชื่อมโยงการเดินทางทางรถยนต์ให้เข้าถึงกันได้โดยสะดวกแล้ว  โอกาสที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากจากมณฑลยูนนานก็จะหลั่งไหล เข้าสู่ประเทศไทย ผ่านเส้นทางนี้ก็จะเป็นไปได้โดยง่าย

         ดังนั้นจากความได้เปรียบและมีแต้มต่อด้านทำเลที่ตั้ง  เชียงของจะสามารถพัฒนา จากอำเภอเล็กๆชายขอบประเทศไทย  ไปสู่เมืองสำคัญทางภูมิเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้หรือไม่  คงขึ้นอยู่การวางแผนพัฒนาและการเตรียมความพร้อมของภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ในการทำให้ทุกองคาพยพของเชียงของ  สามารถทำงาน ประสาน สอดรับ เป็นในทิศทางเดียวกัน  หาไม่แล้ว ขบวนแห่งโอกาสที่มาเคาะประตู อำเภอเชียงของ  ก็จะออกจากสถานี  โดยที่คนเชียงของ ไม่ได้โดยสารไปด้วยเป็นแน่แท้